หอเอนเมืองปิซ่า : มหัศจรรย์ ของประเทศอิตาลี
หอเอนเมืองปิซ่า: มหัศจรรย์แห่งสถาปัตยกรรมอิตาลี
หอเอนเมืองปิซ่า (Leaning Tower of Pisa) เป็นหนึ่งใน Landmark ที่สำคัญที่สุดของประเทศอิตาลี และเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องการมาเยือน ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของอาคารหอคอย ที่เอนเอียงอย่างน่าทึ่ง และมีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง หอนี้จึงเป็นผลงานทางสถาปัตยกรรมที่ทั้งสวยงาม และท้าทายกฎฟิสิกส์มาหลายศตวรรษ หอเอนเมืองปิซ่าตั้งอยู่ที่ จัตุรัสดูโอโม (Piazza del Duomo) ของเมืองปิซ่า แคว้นทัสกานี ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “มหาวิหารปิซ่า” (Pisa Cathedral) ที่ประกอบด้วยมหาวิหาร โบสถ์ล้างบาป และสุสานหินอ่อน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1173 โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นหอระฆังของมหาวิหารในยุคนั้น ความเอนของหอเริ่มปรากฏในระหว่างการก่อสร้างชั้นที่ 3 เนื่องจากดินใต้ฐานหอมีความไม่เสถียร ความเอียงนี้กลายเป็นปัญหาที่สถาปนิกต้องพยายามแก้ไขในทุกยุค จนกระทั่งปัจจุบัน
หอเอนเมืองปิซ่ามีความสูงประมาณ 56 เมตร มีทั้งหมด 8 ชั้น รวมฐานและชั้นระฆัง ตัวหอสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวซึ่งสลักลวดลายงดงามในสไตล์โรมาเนสก์ (Romanesque) เมื่อมองใกล้จะเห็นเสาหินที่สลักประณีต และซุ้มโค้งที่ช่วยเพิ่มความวิจิตรตระการตา
ความเอียงของหอเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปี ค.ศ. 1990 ก่อนที่จะมีการบูรณะใหญ่ โดยวิศวกรใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อป้องกันการล้ม เช่น การเสริมฐานรากและการถ่วงน้ำหนัก ปัจจุบัน หอได้รับการปรับให้มั่นคง โดยยังคงความเอียงประมาณ 4 องศา
หอเอนเมืองปิซ่าได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1987 และดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนต่อปี นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปยังชั้นบนสุดเพื่อชมวิวของเมืองปิซ่าและชนบทโดยรอบ อีกทั้งยังเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมที่ผู้คนมักโพสต์ท่า ดันหอ(ไม่ให้ล้ม) ในรูปแบบสร้างสรรค์
ข้อควรรู้เมื่อเยี่ยมชมหอเอนเมืองปิซ่า
• ควรจองตั๋วล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อคิวยาว
• การเดินขึ้นบันได 294 ขั้นไปยังยอดหอเหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง
• ช่วงเย็นเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพ เพราะแสงจะช่วยขับความงามของตัวหอ
หอเอนเมืองปิซ่าไม่ใช่เพียงสิ่งก่อสร้าง แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุตสาหะของมนุษย์ที่พยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ด้วยความงดงามและความล้ำค่าทางประวัติศาสตร์ หอนี้จะยังคงยืนหยัดเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ทุกคนต้องมาเห็นด้วยตาตนเองสักครั้งในชีวิต